วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 21, 2553

การเรียกเบี้ยปรับ


การเรียกเบี้ยปรับ เป็นข้อกำหนดของธนาคารหรือบริษัทในเครือเจ้าของบัตรเครดิตที่ได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งในสัญญาสำเร็จรูป ที่สมาชิกบัตรเครดิตทำข้อตกลงยอมรับไว้ล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแล้ว ในกรณีที่สมาชิกบัตรเครดิตผิดสัญญาที่ได้ทำข้อตกลงเอาไว้ คือไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด ไม่ชำระหนี้เลย หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งการกำหนดเบี้ยปรับนั้นในสัญญาอาจจะกำหนดเป็นเงินจำนวนหนึ่ง หรือเป็นดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ถ้าหากเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สูงมากเกินสมควร และศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเบี้ยปรับแก่สมาชิกบัตรเครดิตนั้นสูงเกินสมควรจริง ศาลมีอำนาจที่จะหยิบยกเรื่องเบี้ยปรับที่สูงเกินควรหรือไม่เกินควรนั้น มาพิจารณาได้ตามประมวลฏำหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมารตา ๓๘๓ วรรคแรก ซึ่งวางหลักไว้ว่า " ถ้าเบี้ยปรับที่ริบไว้นั้นสูงเกินควร ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคระห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลด ก็เป็นอันขาดไป "
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ศาลไม่อาจลดเบี้ยปรับที่กำหนดไว้ในสัญญาเป็นอัตราดอกเบี้ยนั้นจนเหลือเบี้ยปรับเท่ากับ หรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยตามปกติที่ธนาคารหรือบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตเรียกเก็บจากสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตที่ไม่ผิดนัดผิดสัญญา และศาลมีอำนาจสั่งลดเบี้ยปรับได้ ถ้าในทางพิจารณาแล้วศาลเห็นว่าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินจริง แต่ศาลไม่มีศาลอำนาจที่จะสั่งงดเบี้ยปรับได้เลย ตามฎีกาที่ ๗๓๒๘/๒๕๔๑ และฎีกาที่ ๑๒๗๒/๒๕๔๗

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 18, 2553

การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆจากบัตรเครดิต


ธนาคารหรือบริษัทในเครือธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต ได้มีการออกกฎและข้อบังคับไว้ในสัญญาสำเร็จรูปของการสมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิต โดยกฎ ระเบียบและข้อบังคับนั้น เมื่อมีการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติล่าช้า สมาชิกบัตรเครดิตต้องชำระค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารหรือบริษัทในเครือเจ้าของบัตรเครดิต เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัครเป็นสมาชิก ค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรหลักและบัตรเสริม ค่าธรรมเนียมรายปี
ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน ค่าธรรมเนียมในการชำระหนี้ล่าช้ากว่ากำหนดเป็นต้น ซึ่งอัตราดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการใช้บัตรเครดิต ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ลง ณ วันที่ ๑ เดือนธันวาคม ๒๕๔๙ มื่อรวมกันแล้วต้องม่เกินร้อยละ ๒๐/ปี แต่สิ่งที่เห็นเป็นประจักษ์และปรากฎคือว่าค่าธรรมเนียมบางรายการสูงเกินความเป็นจริง เช่นค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปีเป็นต้น ซึ่งเป็นรูปแบบสัญญาสำเร็จรูป ซึ่งมีข้อตกลงที่อาจจะสร้างความไม่เป็นธรรมแก่สมาชิกบัตรเครดิต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
พ.ศ.๒๕๔๐

วันพุธ, กุมภาพันธ์ 17, 2553

ห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้นจากสัญญาบัตรเครดิต


สัญญาบัตรเครดิต เป็นสัญญาประเภทรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิกผู้ถือบัตรเครดิต จึงมิใช่เป็นสัญญากู้ยืมเงิน หรือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือสัญญาบัญชีเดินสะพัดแต่อย่างใด ธนาคารหรือบริษัทในเครือธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากสมาชิกผู้ถือบัตรเครดิต ถึงแม้ธนาคารหรือบริษัทในเครือธนาคารเจ้าของบัตรเครดิต จะมีข้อตกลงกับสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตให้คิดดอกเบี้ยทบต้น โดยมีการหักเงินจากการบัญชีธนาคารประเภทต่างๆ ไว้ก็ตาม ดังนั้น ธนาคารและบริษัทในเครือธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตคงมีสิทธิเพียงแค่คิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นได้เท่านั้น ตามฏีกาที่ ๔๘๔๖/๒๕๔๒

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 14, 2553

อย่างไรเรียกว่าบัตรเครดิต

ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.๑ (๑๔) ได้นิยามความหมายของ บัตรเครติด ไว้ว่า "

(ก) เอกสารหรือวัตถุอื่นใด ไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใด ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ ซึ่งจะระบุชื่อหรือไม่ก็ตาม โดยบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ใช้ วิธีการทางอิเล็คตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอิ่นใดในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง หรือวิธีการทางแม่เหล็ก ให้ปรากฎความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข รหัส หมายเลขบัตร หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

(ข) ข้อมูล รหัส หมายเลขบัญชี หมายเลขชุดทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องมือทางตัวเลขใดๆ ที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้ โดยมิได้มีการออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ แต่มิวีธีการใช้ในทำนองเดียวกันการ(ก) หรือ

(ค) สิ่งอื่นใดที่ใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของ

หนี้จากบัตรเครดิตกับหนี้เบิกเงินเกินบัญชี

ฎีกาที่ ๗๑๔๔/๒๕๔๒ แม้จำเลยจะมีข้อตกลงให้โจทก์หักเงินที่โจทก์ได้จ่ายแทนจำเลยจากบัญชีกระแสรายวัน โดยให้ถือว่ายอดหนี้ตามบัญชีเป็นการเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ด้วย ก็เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิต มิใช่หนี้เบิกเงินเกินบัญชีตามบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเดินสะพัด จึงมีอายุความ๒ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๙๓/๓๔(๗) ( ภาสกร ญาณสุธี , ๒๕๕๑ : ๙ )

วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 13, 2553

อายุความสัญญาการใช้บัตรเครดิต


เนื่องจากการที่ธนาคารหรือบริษัทในเครือของธนาคารออกบัตรเครดิตให้แก่ผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของธนาคารนั้นๆ แล้วให้สมาชิกบัตรเครดิตนำบัตรดังกล่าวไปชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือแม้กระทั่งการเบิกถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ จึงลักษณะเป็นการบริการและอำนวยความสะดวกให้แก่สมาชิกบัตร โดยทีไม่ต้องนำเงินสดไปชำระค่าสินค้า ค่าบริการ และรวมถึงเมื่อถึงคราวยามจำเป็นที่จะต้องใช้เงินสดก็สามารถเบิกถอนเงินสดจากเครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติได้ทันที โดยทางธนาคารหรือบริษัทในเครือของธนาคารเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากการให้บริการบัตรเครดิต จึงมีลักษณะเป็นธุรกิจรับทำการงานต่างๆ ให้แก่สมาชิก โดยเมื่อธนาคารหรือบริษัทในเครือธนาคารชำระเงินให้แก่สมาชิกบัตรเครดิตไปแล้ว จึงไปเรียกเก็บเงินกับสมาชิกบัตรในภายหลัง จึงเป็นการประกอบธุรกิจในการรับทำการงานต่างๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดลองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๗) ซึ่งมีอายุความเพียง ๒ ปี นับแต่มีสิทธิเรียกร้อง ตามฎีกาที่ ๘๖๔/๒๕๔๑ , ฎีกาที่๕๓๑๘/๒๕๔๔ , ฎีกาที่๘๘๐๕/๒๕๔๔

วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 11, 2553

สัญญาบัตรเครดิต


สัญญาบัตรเครดิต เป็นสัญญา ซึ่งฝ่ายหนึ่งเรียกว่าธนาคารหรือสถาบันการเงิน อาจจะเป็นทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และรวมทั้งบริษัทในเครือของธนาคารด้วย กับอีกฝ่ายหนึ่งที่สมัครเป็นสมาชิกของธนาคาร โดยธนาคารหรือบริษัทจะออกบัตรเครดิตให้แก่สมาชิก เพื่อสมาชิกนำบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้า หรือชำระค่าบริการแทนเงินสด จากร้านค้า หรือสถานบริการต่างๆ หรือสมาชิกใช้บัตรเครดิตดังกล่าวไปถอนเงินสด จากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติ จากนั้นธนาคารหรือบริษัทที่เป็นเจ้าของบัตรเครดิตจะเป็นผู้ชำระเงินให้แก่สมาชิกแทนไปก่อน และจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกในภายหลัง โดยอาจจะมีข้อตกลงให้สมาชิกชำระเงินคืนเพียงแค่ครั้งเดียว หรืออาจจะมีการตกลงให้ชำระเป็นรายเดือนในภายหลังก็ได้ โดยในสัญญามีข้อตกลงให้ธนาคารมีสิทธิเรียกเก็บค่าบริการ ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเครดิต และรวมทั้งการเรียกชำระเบี้ยปรับในกรณีที่สมาชิกผิดนัดไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนด ฉะนั้นการที่ธนาคารหรือเจ้าของบัตรเครดิต ให้สมาชิกใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการต่างๆ รวมทั้งใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินสด ย่อมเป็นการรับการทำการงานให้แก่สมาชิก จึงเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามโดยชัดแจ้งตามกฎหมายแต่อย่างใด และมิได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149

clock